นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวผ่านรายการโหนกระแส ถึงกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. จะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยกรณีหุ้นสื่อไอทีวี ของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 12 ก.ค. นี้ ซึ่งจะส่งผลต่อการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค. หรือไม่ นายพิธา ระบุว่า คิดว่าไม่มีอะไรต่อการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นสิ่งที่เราคาดเดาได้ ที่อาจจะเกิดขึ้นในกระบวนการแบบนี้
เหมือนกรณีคล้ายกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่มีการกระทำแบบนี้
ดังนั้น ตนจึงได้ยื่นหนังสือไปยัง กกต. เพื่อท้วงติงและขอความเป็นธรรม ของความเป็นกลางจาก กกต. เพราะว่าการที่จะพิจารณาอะไรแบบนี้ มีขั้นตอนของมันอยู่ เมื่อมีการต้องข้อกล่าวหาแล้ว แต่ตนเองยังไม่ได้อ่านข้อกล่าวหาเลย ซึ่งปกติแล้วจะต้องเอาผู้ที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงก่อน ไม่ว่าจะเป็นไอทีวีก็ดี หรือตัวผมก็ดี ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร ก่อนจะมีมติส่งศาลหรือไม่ส่งศาล ซึ่งมองว่าเรื่องนี้ข้ามขั้นตอนพอสมควร จะเป็นเรี่องที่น่าแปลกใจ พอมีวันที่จะโหวตนายกฯ วันที่ 13 ก.ค. แล้วมีประชุมวันที่ 10 ก.ค. แล้วไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 12 ก.ค.66 เลยนั้น ตนมองว่า เรื่องระยะเวลาอาจไม่ค่อยสมเหตุสมผล จึงต้องขอความเป็นธรรมไปยัง กกต.
เมื่อถามว่า ดูเหมือนเรื่องนี้ดูแปลกๆ เพราะ 13 ก.ค.66 โหวตนายกฯ แล้ววันที่ 12 ก.ค.66 มีการยื่นไปเลย นายพิธา ระบุว่า เรื่องนี้ตนก็พูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าตนยังไม่เห็นคำร้อง ว่าทางฝ่ายที่กล่าวหาตัวเอง ร้องตนในเรื่องประเด็นอะไร แล้วทาง กกต.เอง ก็ยังไม่เปิดโอกาสให้ไปชี้แจง
ส่วนประเด็นการขายหนังสือ นายพิธา กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นรายละเอียดในเรื่องนี้ แต่ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกัน และเมื่อเรื่องนี้เข้าไปในกระบวนการแล้ว ตนก็พร้อมที่จะชี้แจง
นายพิธา ยังมองถึงประเด็นการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ต่อ ป.ป.ช. ที่มีหลายคนเตรียม จ่อร้องประเด็น ที่ดิน คอนโด นาฬิกา ว่าเรื่องนี้มองว่าไม่ผิดคาด และตนเองก็พร้อมจะชี้แจงทุกอย่าง ที่ผ่านมาได้ทำทุกอย่างรัดกุม มาตั้งแต่ตอนที่เป็น ส.ส.สมัยแรก รัดกุมเมื่อออกจาก ส.ส.สมัยแรก แล้วเดี๋ยวจะมีการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ตอนเข้ารับตำแหน่งครั้งที่ 3 อีก เพราะฉะนั้นถ้าเห็นข้อมูลทั้งหมด แล้วด้วยใจที่เป็นกลาง ก็จะสามารถประติดประต่อเรื่องราวได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ นายพิธา มองว่าไม่ได้ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง เป็นเรื่องปกติของนักการเมือง ที่ต้องพร้อมให้ได้รับการตรวจสอบ และก็ต้องพร้อมที่จะชี้แจงในทุกเรื่อง เพื่อความโปร่งใสและรักกุมในการทำงาน
เมื่อถามถึงเสียงโหวตนายกรัฐมนตรี จาก ส.ว. ได้มีการไปพูดคุยหรือเจรจาหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ก็เป็นทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ วันนี้การให้ข่าวของ ส.ว.เท่าที่ฟังก็จะมีหลายรูปแบบ บางคนอาจจะบอกว่าไม่โหวตให้ตน แต่บางคนก็บอกว่าจะโหวตตามหลักการ ตามเสียงข้างมากรัฐบาลที่ตั้งได้ มี ส.ว.บางคนก็ระบุว่า ขอฟังดูก่อน และตนคิดว่า เมื่อมีโอกาสได้พูดคุยกับพี่ๆ วุฒิสภามาขึ้น ตนมองว่าสุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้แตกต่างมากเท่าไหร่ เราอาจจะแตกต่างเรื่องของที่มา แต่เมื่อพอมาได้คุยแล้ว ทุกคนก็ได้มาแสดงความห่วงใยเรื่องบ้านเมือง ตนเคยเป็นกรรมาธิการหลายวง มีทั้งอดีตข้าราชการ มี ส.ว.อยู่ในวง ก็ได้นำมาคิดมาแลกเปลี่ยนกัน และพูดไปในแนวกัน ว่าอยากพัฒนาบ้านเมือง ดังนั้นจึงเชื่อว่า เมื่อได้ผ่านการโหวตนายกฯ ในวันที่ 13 ก.ค.แล้ว และ ส.วคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง. ก็มีเวลาทำงานอีก 1 ปี จึงเชื่อว่าจะสามารถทำงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือขอความรู้ได้เป็นอย่างดี เพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเมือง เพื่อประชาชน
เมื่อถามว่า ขณะนี้มี ส.ว.ที่ยกมือโหวตให้มีทั้งหมด 20 เสียง ขณะที่ทางพรรคเพื่อไทย ได้มาอีก 40 เสียง รวมถึงจากพรรคร่วมรัฐบาล อีก 10 เสียง รวมเสียงได้แล้ว ประมาณ 70 เสียง ก็ถือว่าเกินแล้ว นายพิธา มองว่า การไปลงตัวเลขในวันนี้ จะไปกระทบกับผลที่โหวตในวันที่ 13 ก.ค. แต่คิดว่าหากเราหาฉันทามติร่วมกันได้ ได้มีโอกาสทะลายกำแพงที่เราไม่เข้าใจกัน อย่างเรื่องการแบ่งแยกดินแดน ที่ผ่านมาพูดชัดตลอด ว่ารัฐไทยต้องเป็นรัฐเดียว หรือ การให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการ แต่เราจะทำอย่างไรให้ไทยได้ยื่นอยู่บนเวทีโลก ซึ่งเรื่องแบบนี้เมื่อได้มาพูดคุยกันตรงไปตรงมา ส.ว.ก็มีความเข้าใจมากขึ้น
เมื่อถามถึงประเด็นพรรคร่วมรัฐบาล ที่จะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี 3 ครั้ง แล้วหากโหวตพิธา ไม่ได้เป็นนายกฯ ทางพรรคเพื่อไทย จะจัดตั้งรัฐบาลเองนั้น นายพิธา มองว่า เรื่องนี้อาจจะเป็นการคาดการณ์ของแต่ละบุคคล ไม่ได้เป็นเรื่องของพรรค หรือพรรคร่วม และก่อนวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 พรรคร่วมก็จะมีการประชุมเตรียมพร้อมกัน หากมาดูในรัฐธรรมนูญก็จะเห็นว่า ไม่ได้มีการกำหนดว่าจะต้องโหวตกี่ครั้ง เพราะสามารถโหวตได้เรื่อยๆ แต่ทั้งนี้หลายคนก็เชื่อว่า โหวตครั้งเดียว ก็จะได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เลย
เนื่องจากมีเรื่องที่ต้องพิจารณาอีกหลายเรื่อง ทั้งงบประมาณแผ่นดิน ปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้นแล้วในนามพรรคร่วม 8 พรรค ก็ยังไม่มีการคาดการณ์ หรือ แผน 2 อะไรทั้งสิ้น ตอนนี้เราอยู่กับปัจจุบันก่อน เอาเป็นว่าผ่านวันที่ 13 ก.ค.นี้ให้ได้ก่อน โดยยืดมติจากประชาชน และแก้ปัญหาประเทศให้ได้ก่อนอย่างฉับไว เชื่อว่าวันที่ 13 ก.ค.นี้ ทั่วโลกจะจับตา จึงขอโอกาสนี้คืนความปกติให้กับการเมืองไทย ให้โอกาสประเทศไทย ให้โอกาสประชาธิปไตย ไม่ใช่ให้โอกาสแค่พิธา โดยเชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่ดี เราจะได้มีสมาธิต่อในการแก้ไขปัญหา
เมื่อถามว่า สมมุติว่าตนเองไม่ได้โหวตเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วทางพรรคเพื่อไทย ได้จัดตั้งรัฐบาล จะสนับสนุนหรือไม่ นายพิธา ย้ำว่า ยังไม่มีสมมุติฐานไหน ที่จะทำให้เกิดสมมุตินี้ขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีความ หรือเรื่องอะไรก็ตาม จึงยังไม่มีสมมุติฐานอะไรที่สมมุติเรื่องแบบนี้ได้พร้อมมองว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ตอนนี้ต่างชาติกำลังจะมาลงทุน ตลาดหุ้นที่จับตาเราอยู่ เพราะฉะนั้นแล้วขณะนี้ยังไม่มีแผน 2 อะไรทั้งสิ้นในเรื่องดังกล่าว